พายุน้ำแข็ง ทำลายไร่ไวน์ฝรั่งเศส
June 10, 2021
หากกล่าวว่าปีนี้เป็นปีที่แย่ที่สุดสำหรับผู้ผลิตไวน์ฝรั่งเศสในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ก็คงไม่เกินจริงซักเท่าไหร่นะครับ เพราะแค่ช่วงต้นปี 2021 ฝรั่งเศสเจอปัญหาถาโถม ตั้งแต่กำลังซื้อที่ถดถอยในหลายๆ ประเทศทั่วโลกจากสภาวะโควิดที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แถมต้นปีนี้ยังเจอกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงผิดปกติ แต่ปัญหาใหญ่จริงๆ เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อเดือนที่แล้ว เกิดภาวะอากาศหนาวรุนแรง บวกกับความชื้นทำให้มีน้ำแข็งปกคลุมไร่องุ่นทั่วฝรั่งเศส! จนมีการคาดเดากันว่าปีนี้อาจเป็นปีที่ฝรั่งเศสผลิตไวน์ได้น้อยที่สุด!
จุดเริ่มต้น – อากาศร้อนขึ้นเป็นพิเศษ
ช่วงมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ที่ส่วนมากอากาศจะยังค่อนข้างหนาว แต่ปีนี้อากาศกลับร้อนเร็วมากๆ อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูงถึงประมาณ 26 องศาเซลเซียส จึงทำให้องุ่นในบางวินยาร์ดเริ่มออกดอกแล้ว (Flowering) เร็วกว่าปีทั่วไปที่ส่วนมากองุ่นจะเริ่มออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคมครับ ซึ่งต่อมาจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงเข้าไปอีกครับ
ผลของหายนะพายุน้ำแข็ง
เมื่อองุ่นเริ่มออกดอก ก็จะเข้าสู่กระบวนการผสมพันธุ์และนำไปสู่การออกผลครับ จึงเป็นช่วงที่ว่ากันว่าองุ่นจะเปราะบางที่สุด อุณหภูมิเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลต่อการออกผลขององุ่นแล้ว! แต่ช่วงกลางเดือนเมษายน ไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม จู่ๆ อากาศก็หนาวลงอยากรวดเร็ว อุณหภูมิตกฮวบจาก 26 องศา เหลือเพียง -7 องศา ทำให้องุ่นเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล!
แม้สภาวะอุณหภูมิตกลงอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูร้อน จะไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในฝรั่งเศสนะครับ อย่างปี 1991, 1997 และปี 2003 ก็เคยมีบันทึกว่าเกิดความแปรปรวนรูปแบบนี้ จากพายุฤดูร้อน หรือความกดอากาศต่ำ แต่อุณหภูมิจะไม่ขึ้นสูง และลงต่ำขนาดนี้ แถมยังมาผิดฤดูอีก จึงทำให้ผลของการแปรปรวนทางสภาพอากาศปีนี้รุนแรงเป็นพิเศษครับ แถมนอกจากหนาว อากาศยังชื้นอีก ทำให้เกิดน้ำแข็งเกาะที่เถาองุ่น และหน้าดิน เป็นอากาศที่ต้นองุ่นไม่ชอบที่สุดเลยครับ เพราะหากน้ำแข็งเกาะที่หน่อระหว่างขั้นตอนที่องุ่นกำลังจะผลิดอกออกไป ความเย็นของน้ำแข็งจะทำให้ต้นองุ่นหยุดเจริญเติบโตทันที และเข้าสู่ช่วงจำศีล หากหนาวนานเกินไปโดยเฉพาะช่วงที่ต้นองุ่นควรสะสมแดด และความร้อนเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต อาจทำให้ต้นองุ่นตายในที่สุดครับ
ผลกระทบจึงเยอะมากๆ ตอนนี้ผลผลิตขององุ่นฝรั่งเศสวินเทจปี 2021 ถูกทำลายไปแล้วประมาณ 30% บวกกับวิกฤติโควิดที่ทำให้วินยาร์ดเล็กๆ หลายที่เหมือนกับยืนอยู่หน้าเหวแล้ว ยิ่งโดนน้ำแข็งทำลายผลผลิตอีก ก็อาจมีวินยาร์ดหลายๆ เจ้าที่ต้องล้มแบบที่ลุกไม่ขึ้นไปเลยครับ!
วิธีการแก้ปัญหา
รัฐบาลฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรกรมาก โดยเฉพาะในวิกฤติโควิดนี้ ได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรเต็มที่ โดยได้ผันงบกว่า 1.2 พันล้านเหรียญเพื่อมาช่วยเหลือเกษตรกร
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าของวินยาร์ดทุกคนต้องรับมือ และคอยตั้งรับปัญหาเฉพาะหน้าอย่างใกล้ชิดมากๆ ครับ โดยบางวินยาร์ดถึงขนาดต้องใช้เทียนขนาดใหญ่ หรือเตาเผา ตั้งไว้ทั่ววินยาร์ดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำแข็งมาเกาะเถาองุ่น ซึ่งส่วนมากจะต้องจุดไฟทุกคืน ประมาณช่วงตี 2 หรือช่วงที่มีอุณหภูมิลดลงต่ำที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้องุ่นเสียหายไปมากกว่านี้ครับ
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?
วินยาร์ดแต่ละที่จะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ไวน์จากฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ที่ติดกับชายฝั่งแอตแลนติกจะได้รับความเสียหายค่อนข้างเยอะ ไวน์เสียหายเป็นจำนวนรวมกันกว่า 11 ล้านถังอย่างบอร์โดซ์ก็ถูกคาดการณ์ว่าผลผลิตกว่า 30% ได้รับผลกระทบทั้งหมด
แต่ผลกระทบที่แรงที่สุด คงจะหนีไม่พ้นเบอร์กันดี และแชมเปญ ที่เน้นปลูก Pinot Noir และ Chardonnay ซึ่งเป็นองุ่นที่ตอบสนองรุนแรงกับสภาพอากาศที่ขึ้นๆ ลงๆ มาก อย่าง Chablis ที่อยู่ทางเหนือของเบอร์กันดี คาดการณ์ว่าผลผลิตเกือบ 80% ได้รับผลกระทบหมด ส่วนเขต Pouilly-Fuissé ได้รับผลกระทบถึง 90% กล่าวคือแม้จะผลิตไวน์ออกมาได้ ไวน์ก็อาจไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควรครับ
นี่ทำให้ไวน์ฝรั่งเศสในปี 2021 ซึ่งจะถูกวางขายปีหน้า มีแนวโน้มว่าส่วนมากจะถูกผลิตเป็น Cuvee ที่ผสมวินเทจปี 2021 ที่ได้ผลผลิตไม่เยอะ เข้ากับผลผลิตที่ยังหลงเหลือของวินเทจอื่นๆ หรือหากใครชอบไวน์จากเบอร์กันดี หรือ Pouilly-Fuissé แนะนำให้เลือกจับจองวินเทจปี 2019 หรือ 2020 ไปก่อนเลยครับ เพราะคาดว่าวินเทจปี 2021 จะหายากมากๆ โดยเขตที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือทางตะวันตกเฉียงเหนือ เช่น Alsace ที่ติดกับเยอรมัน รวมถึง Loire ที่อุณหภูมิไม่ได้เปลี่ยนเยอะขนาดนั้นครับ
ทางด้านราคา ผู้ผลิตไวน์หลายๆ คนคาดการณ์ว่า ด้วยผลจากโควิดที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัว ราคาของไวน์จึงไม่สามารถปรับให้เพิ่มขึ้นตาม supply ที่น้อยลงไปด้วยได้ เพราะตลาดยังเซ็นซิทีฟกับราคามากๆ ทำให้วินยาร์ดหลายแห่งต้องจำใจเสนอขายสินค้าในราคาเดิมเสียส่วนใหญ่